หอบลูกเที่ยวกาญจนบุรีกับ The New Isuzu MU-X (ตอนที่ 3: สังขละบุรี)

หอบลูกเที่ยวกาญจนบุรีกับ The New Isuzu MU-X ตอนที่ 3 มุ่งหน้าขึ้นไปยังอำเภอสังขละบุรี ไหนๆ ก็ติดชายแดนพม่าแล้ว ข้ามด่านเจดีย์สามองค์ไปเที่ยวเมืองพญาตองซูเลยก็แล้วกัน

แต่ที่โชคไม่ดีคือ เว็บไซต์การท่องเที่ยวไม่ได้อัพเดทว่า หลังเลือกตั้งได้รัฐบาลของนางอองซานซูจีเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2559 แล้ว เขาไม่อนุญาตให้เอารถข้ามไปฝั่งพม่าเลยทุกกรณี ฉะนั้นที่อ่านมาว่าให้เตรียมเอกสารผ่านแดนกับค่าธรรมเนียมนั่น ลืมไปเลยค่ะ ยกเลิกหมดแล้ว ถ้าไม่เดินเข้าไปก็ต้องซื้อทัวร์

จากบ้านอีต่อง ระหว่างทางผ่านเขื่อนวชิราลงกรณ์ เลี้ยวรถเข้าไปเที่ยวสักนิดก็ได้ค่ะ เอารถขับขึ้นไปถึงบนสันเขื่อนได้เลย (แนะนำว่าวันธรรมดาไม่ใช่วันหยุดเทศกาลนะคะ สันเขื่อนมี 2 เลนสวนกันแทบจะกลับรถไม่ได้ ) มาเที่ยวหน้าร้อนนี่ ดอกกัลปพฤกษ์สีชมพูบานสะพรั่งเต็มต้น สวยชนิดไม่ต้องง้อซากุระเลย

ต้นกัลปพฤกษ์บริเวณเขื่อนวชิราลงกรณ์

เดาว่าขับกันมาไกลส่วนใหญ่ท้องจะมาร้องหาข้าวกลางวันแถวนี้ แนะนำร้านอาหาร ‘ครัวแปดริ้ว’  บรรยากาศดีเพราะตั้งอยู่ริมสะพาน อาหารอร่อย เมนูหลากหลาย ไม่แพง ที่เด็กๆ รับประทานได้ก็เช่น ปลาคังลวกจิ้ม ปลารากกล้วยทอด ยำผักกูด ซี่โครงหมูทอด ผัดเห็ดออรินจิ ฯลฯ

วัดวังก์วิเวการาม
ถึงสังขละบุรีเราก็ไปนมัสการหลวงพ่ออุตตมะที่วัดวังก์วิเวการามก่อนเลย ดังที่เรามักจะปฎิบัติเมื่อเดินทางไปถึงที่ไหนก็จะไปบอกกล่าวกราบสิ่งศักดิ์สิ่งประจำเมืองให้รับทราบและคุ้มครอง หลวงพ่ออุตตมะเป็นพระที่นับถือดั่งเทพเจ้าของชุมชนมอญเนื่องด้วยเป็นพระนักพัฒนา เดิมทีท่านเป็นชาวมอญเกิดในพม่า หลังจากบวชและออกธุดงค์ปฎิบัติธรรมในพม่าราว 16 พรรษา หลวงพ่อก็เดินทางเข้าสู่ไทยทางหมู่บ้านอีต่อง ต.ปิล็อก แล้วก็ได้รวบรวมชาวมอญพลัดถิ่นให้มาอยู่รวมกันที่อ.สังขละบุรี ชาวบ้านช่วยกันสร้างวัดถวายเรียกกันว่าวัดหลวงพ่ออุตตมะ หลวงพ่อท่านได้ให้สร้างอุโบสถจากอิฐที่ปั้นกันเองด้วย ตอนนี้ทั้งวัดและโบสถ์หลังเก่าจมอยู่ใต้น้ำหมดแล้วหลังจากการสร้างเขื่อนวชิราลงกรณ์ กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวunseen ไป คือเป็นโบสถ์ที่ผุดขึ้นมากลางน้ำช่วงหน้าแล้งเมื่อน้ำลด เดินเข้าไปในโบสถ์ได้เลย แต่ช่วงหน้าฝนนั้นน้ำจะท่วมจนมิดโบสถ์เลย ส่วนวัดวังก์วิเวการามปัจจุบันก็เป็นศูนย์กลางทางศาสนา จัดงานประเพณีตามเทศกาล โลงบรรจุสังขารของหลวงพ่อก็อยู่ที่ปราสาทเก้ายอดภายในวัดด้วย

สวนแมกไม้รีสอร์ท สังขละบุรี
ห้องกาญจนิภากระจกโค้ง นอนได้ทั้งครอบครัว
วิวจากห้องพัก

ที่พัก
เราเลือกพักที่ ‘สวนแมกไม้รีสอร์ท’ เพราะเห็นห้องพักวิวพาโนราม่าจากในเว็บโรงแรม ตอนจองก็กลัวว่าของจริงจะสวยเหมือนในรูปไหม เฮ้อ…ค่อยยังชั่ว สวยอย่างที่คาดไว้ รูปนี้ถ่ายกันเองเดือนมีนาคม 2560 ห้องยังสภาพดีไม่โทรม มีระเบียงเล็กๆ เปิดออกไปนั่งมองแม่น้ำได้ ถ้าจะมีข้อเสียก็คือ ตอนบ่ายแดดเข้าเต็มๆ ด้านที่เป็นกระจกพาโนรามานั่นล่ะค่ะ ห้องนี้เรียกห้องกาญจนิภา กระจกโค้ง สำหรับ 3 คน มีเตียงคิงไซส์ 1 เตียงและเตียงเดี่ยวอีก 1 เตียง โซฟายาว 1 ชุด ห้องกว้างมาก ห้องน้ำใหญ่มาก แยกห้องยืนอาบน้ำเป็นสัดส่วนออกจากอ่างล้างหน้า วันเสาร์-อาทิตย์เขาบังคับขายห้องพักพร้อมอาหารเย็นแบบเซ็ต เพราะฉะนั้น 3,300 บาทสำหรับพ่อแม่ลูก 4 คนพร้อมอาหารเย็นและอาหารเช้า ถือว่าราคาใช้ได้นะคะ แต่ควรย้ำว่าขออาหารไม่เผ็ดสำหรับเด็กด้วย เพราะในชุดมักจะมีแต่แกงส้มและยำมาให้ มีอีกโรงแรมที่น่าพัก อยู่ติดๆ กันและมักจะถูกจองเต็มเสมอคือ ‘สามประสบรีสอร์ท’ ลองเข้าไปเลือกดูค่ะว่าชอบแบบไหน

เดินเที่ยว
จากโรงแรมเดินไปที่สะพานไม้ยาวที่สุดในประเทศไทยได้เลย ตอนเย็นๆ คนเยอะ เพราะไปรอดูพระอาทิตย์ตกดินกัน ส่วนตอนเช้าๆ ก็เหมือนกันค่ะ คนมารอใส่บาตรกันตั้งแต่ 6 โมงเช้า บรรยากาศบนสะพานมีชีวิตชีวาสนุกสนานดีจัง มีเด็กมอญคอยถือแป้งทานาคา บริการปั๊มแป้งลงแก้ม ค่าบริการแล้วแต่จะให้ บางคนก็พยายามจะเล่าประวัติความเป็นมาของชุมชนมอญกับสะพานไม้ ฟังรู้เรื่องมั่งไม่รู้เรื่องมั่งคลุกคลักอยู่ในคอ แต่เราก็อ่ะ..เอาไปคนละสิบ-ยี่สิบ เด็กผู้ชายอายุ 13-14  รับโดดสะพานแล้วแต่จะให้ เพราะรู้ว่านักท่องเที่ยวชอบถ่ายวิดีโอไปโพสต์เฟซบุ้ค 2-3 ครั้งแรกคนให้ 20 ตอนหลังๆ เริ่มไม่อยากโดดแล้ว สะพานก็สูง น้ำก็เย็น โดดลงไปต้องว่ายกลับมาที่เสาแล้วไต่ขึ้นมาอีก 5-6 เมตร คุณลุงบอกขอถ่ายรูปอีกรอบ ตะกี้ถ่ายไม่ทัน คราวนี้ให้ร้อยนึงเลยนะ ทายสิคะว่าโดดไหม

ล้อมวงเข้ามา
จะพากินหมูจุ่มไม้ละบาท
บรรยากาศถนนคนเดิน

 ‘ถนนคนเดินสังขละบุรี’ จะมีเฉพาะวันเสาร์ ตั้งแต่ตอนเย็นๆ ไปถึง 4 ทุ่ม จากที่เดินมาหลายถนนคนเดิน เรารู้สึกว่าไม่มีอะไรพิเศษนัก อาหารไม่ค่อยหลากหลายด้วยซ้ำ อย่างเดียวที่เป็นเอกลักษณ์คือหมูจุ่มพม่า ไม้ละ 1 บาท เก้าอี้ตัวไหนว่าก็นั่งปุ๊ หยิบไม้ที่จุ่มซุปสีแดงในหม้อกินไปเรื่อยๆ จะซดน้ำก็ขอถ้วยกับช้อน พอใจแล้วนับไม้จ่ายตังค์ คนแน่นทุกร้านเลย บ้านนี้ส่งลูกชายเป็นตัวแทน ชิมแล้วบอกด้วยนะว่าเป็นยังไง ปรากฎว่าก่อนกลับ “ขออีกรอบฮะแม่”

ปลาหัวยุ่ง
ของฝากเมืองมอญ

 

เช้าๆ ใส่บาตรแล้วข้ามไปตลาดเชิงสะพานฝั่งมอญกันนะคะ ฝั่งมอญไม่ได้แปลว่าข้ามไปพม่านะ คืออยู่ในแผ่นดินไทยนี่ล่ะ แต่เป็นชุมชนมอญ ชนชาติเก่าแก่ซึ่งถูกพม่ารุกรานจนไม่มีแผ่นดินต้องอพยพเร่ร่อนมาทางแผ่นดินไทย ร้านโจ๊ก (ชาวมอญเรียก’เปิ่นด้านเกริด’) ป๊อก (เปิด) ตั้งแต่ตี 4 ถึง 10 นายเดื้อย (โมง) คนแน่นเชียว แน่นอนว่าคุณพ่อกับลูกชายต้องลืมตัว จัดไปชามใหญ่ไม่เหลือที่ให้อาหารเช้าของโรงแรมอีกต่อไป ส่วนคุณแม่กับลูกสาวก็เพลินกับเข็มขัด กำไล ผ้าซิ่น กับทานาคาที่เป็นท่อนไม้ เอามาขูดจนได้แป้งสีเหลือนวล สำหรับทาหน้าให้ผ่อง ของฝากขึ้นชื่อคือ ‘ปลาหัวยุ่ง’ ดูรูปกันเอาเองนะคะว่ามันยุ่งยังไง แต่ที่เขาขายกันคือกุดหัวขาดหมดแล้วตากแห้งชั่งเป็นกิโล เอาไปทอดโรยเกลือเค็มๆ มันๆ

ด่านเจดีย์สามองค์
เรานอนที่สังขละบุรีคืนเดียวค่ะ พอสายๆ ของวันรุ่งขึ้นก็เดินทางต่อไปด่านเจดีย์สามองค์ ขับรถแค่ครึ่งชั่วโมงเท่านั้น ใกล้ๆ จะถึงมีด่านตรวจ ทหารเรียกขอบัตรประชาชนและสมุดคู่มือรถเก็บไว้ โชคดีที่หาข้อมูลมาก่อนเลยไม่ตกใจ ให้พี่ทหารเขาไว้นั่นล่ะค่ะ เขาป้องกันการลักลอบนำรถออกไปขาย โดยเฉพาะเราขับอีซูซุ ป้ายแดงอย่างนี้ แต่ที่โชคไม่ดีคือ เว็บไซต์การท่องเที่ยวไม่ได้อัพเดทว่า หลังเลือกตั้งได้รัฐบาลของนางอองซานซูจีเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2559 แล้ว เขาไม่อนุญาตให้เอารถข้ามไปฝั่งพม่าเลยทุกกรณี ฉะนั้นที่อ่านมาว่าให้เตรียมเอกสารผ่านแดนกับค่าธรรมเนียมนั่น ลืมไปเลยค่ะ ยกเลิกหมดแล้ว ถ้าไม่เดินเข้าไปก็ต้องซื้อทัวร์ซึ่งมีบริการอยู่ตรงที่จอดรถทั้ง 2 ฝั่ง ฝั่งละ 2 เจ้า ราคาเดียวกันหมดคือ 1 ชม. ราคา 200 บาท หรือ 2 ชม. ราคา 300 บาท (เด็กไม่คิด) ถ้าเหมาะคันส่วนตัวไม่รอรวมคนอื่น 1,200 บาท คนขับเป็นชาวพม่า มีไกด์พูดไทยนำทางไปด้วยคนนึง

รูปปั้นองค์พระ 128 รูป ตั้งอยู่ด้านนอกของวัดเสาร้อยต้น
วัดเจดีย์ทอง
พระนอนตาหวาน (จำลอง)
หลวงพ่อทันใจ
พระธาตุอินทร์แขวน (จำลอง

)

บรรยากาศตลาดชายแดน
หมากฝานเป็นแผ่น สินค้าที่ชาวพม่ายังนิยมบริโภค

พญาตองซู
เมืองพม่าที่เราข้ามมาเที่ยวนี้คืออำเภอพญาตองซู จังหวัดจะเอ็นเซจีได้สังเกตเห็นอีกอย่างว่ารถพม่านี่พวงมาลัยขวาแต่ขับเลนขวานะคะ เก่งจัง คนขับเขาจะพาเราไปจุดสำคัญๆ คือวัดเสาร้อยต้น (ที่จริงมี 115 ต้น) ซึ่งมีรูปปั้นพระบิณฑบาตรยืนเรียงเดี่ยวเป็นแนว 128 รูป จากนั้นก็ไปวัดเจดีย์ทอง (วัดทองคำ) ส่วนมากถ้าไปกันเองคนไทยก็จะไป 2 วัดนี้แล้วก็แวะซื้อของที่ตลาดตรงหน้าด่านเท่านั้น แต่ถ้าจ่ายตังค์ซื้อทัวร์แบบ 2 ชม. เขาจะพาไป ‘วัดตองไว’ไหว้หลวงพ่อทันใจกับเทพทันใจ (โห…อันนี้มีขั้นตอนการขอพรเป็นลำดับ ต้องพับแบงค์ตามรูปแบบที่กำหนด แล้วเอาหน้าผากไปโขกปลายนิ้วท่านจึ้กนึง) ไปไหว้พระนอนตาหวาน (จำลองมาจากพระพุทธไสยาสน์เจาทัตยี เมืองตำเว) เดินลอดในฐานใต้องค์พระเสร็จแล้ว ถ้าใครกำลังขาแข็งแรง เขาก็จะพาเดินขึ้นบันได 150 ขั้นไปนมัสการพระธาตุอินทร์แขวนจำลอง ชมทิวทัศน์เมืองพญาตองซูโดยรอบ ตลอดทางทัวร์เราจะพบว่าคนท้องถิ่นจะเชิญชวนทำบุญสร้างวัดสร้างเจดีย์ เห็นทุ่งไหนโล่งๆ ว่างๆ เขาก็ว่าเตรียมจะสร้างเจดีย์ ไม่แปลกใจเลยเมื่อรู้ว่าประเทศพม่ามีวัดอยู่กว่า 62,000 กว่าแห่ง!!

อ่ะ…จบทัวร์พม่าใน 2 ชั่วโมงกว่า ได้เห็นองค์พระมีชื่อเสียงจำลองมาจากองค์จริงซึ่งอยู่ในเมืองอื่นๆ ได้เวลากลับบ้านแล้ว
ถ้าคิดว่าขับรวดเดียว 400 กิโลเมตรเข้ากรุงเทพ 5-6 ชม.ไม่ไหว นอนค้างริมแพที่อ.ไทรโยคซักคืนก่อนกลับก็ได้นะคะ
สะพานมอญ อ.สังขละบุรี
N15.143819 E98.449937

ถนนคนเดินสังขละบุรี
ตลาดเทศบาลสังขละบุรี
N15.156133 E98.450867
ครัวแปดริ้ว
N14.737603 E98.636787
เชิงสะพานก่อนเข้าตลาดทองผาภูมิ อ. ทองผาภูมิ กาญจนบุรี
เวลาบริการ 10.00-22.00 น.
โทร. 0-3459-9780, 0-3459-9780

Leave a Reply